ประวัติ วัดศาลเจ้า จ.ปทุมธานี (ฉบับเต็ม)
- by TAP special team
- Sep 6, 2017
- 1 min read

วัดศาลเจ้า ต.บ้านกลาง อ.เมือง จ.ปทุมธานี
วัดศาลเจ้าจะอยู่ติดกับวัดมะขามมีถนนเดินติดต่อกันได้
วัดศาลเจ้า ถือว่าเป็นวัดโบราณได้วัดหนึ่งเพราะมีอายุนับถึงวันที่ผมเขียนปี
๒๕๔๕ ก็มีอายุนานถึง ๒๒๕ ปีแล้ว ตั้งแต่กรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นเลยทีเดียว
แต่พอมาอ่านอีกตำนานหนึ่งชักจะไม่ตรงกัน แต่ยังคงความโบราณไว้ คือบอกว่าวัดศาลเจ้ามีอายุนานร่วมสามร้อยปี
เป็นวัดที่สร้างขึ้นในตอนปลายของสมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นราชธานี จึงต้องเล่าเพื่อประกอบการสันนิษฐานไว้ทั้ง
๒ ตำนาน
ตำนานแรกเล่าว่า เพราะวัดตั้งอยู่ที่ปากคลองศาลเจ้า จึงได้นามวัดว่า วัดศาลเจ้า
ตำนานนี้บอกด้วยว่าสร้างเมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๓๓๐ และวัดได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา
เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๓๓๓ ภายในวัดมีอุโบสถ กว้าง ๑๒ เมตร ยาว ๑๘ เมตร ลักษณะทรงไทย
มีหอสวดมนต์ ศาลาการเปรียญ กุฏิสงฆ์ ศาลาท่าน้ำ หอระฆัง วิหารพระนอน เจดีย์มอญ
ส่วนอีกตำนานหนึ่งที่เล่าต่อ ๆ กันมาหลายชั่วอายุคน กล่าวไว้ว่า วัดศาลเจ้าสร้างเมื่อปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา
โดยในยุคนั้นมี "เจ้าน้อยมหาพรหม"
เป็นบุตรเจ้าเมืองทางฝ่ายเหนือ เป็นผู้ที่มีวิชาความรู้ทางไสยศาสตร์มาก เป็นต้นว่าสามารถเรียกจรเข้ให้ขึ้นจากน้ำได้
ถากหน้าแข้งทำเป็นฟืนหุงข้าวได้
ครั้งหนึ่งเจ้าน้อยมหาพรหม ได้ต่อแพแล้วล่องลงมาตามลำน้ำเจ้าพระยา แต่จะไปสิ้นสุดที่แห่งหนตำบลใดไม่มีใครทราบ
ทราบว่าในการล่องแพลงมาครั้งนี้ เจ้าน้อยมหาพรหมได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า หากการล่องแพครั้งนี้ได้พบวัดใด
พบพระภิกษุองค์ใดที่มีวิชาไสยศาสตร์เหนือกว่าเจ้าน้อยแล้ว เจ้าน้อยจะรื้อแพที่ล่องมานี้
แล้วถวายสร้างวัด สร้างศาลา
เมื่อล่องแพลงมาจนถึงแม่น้ำอ้อม
ได้พักอยู่ที่ปากแม่น้ำอ้อม (เชียงราก) ตรงบริเวณนั้นมีวัดอยู่วัดหนึ่งคือ
วัดมะขามใน
หรือวัดมะขามน้อย
และตรงใกล้ ๆ กับวัดมะขามมีเกจิอาจารย์รูปหนึ่ง ชื่อ "พระอาจารย์รุ"
เป็นเชื้อสายรามัญ มีกุฏิอยู่เป็นเอกเทศไปปะปนกับหมู่สงฆ์ในวัด
พระอาจารย์รุ เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถในวิชาไสยศาสตร์มาก มีผู้คนนับถือแยะ
สามารถเสกใบมะขามเป็นตัวต่อได้ เสกกิ่งไม้สด ๆ ให้ติดไฟได้ และยังสามารถสะกดจิตบุคคลให้ทำตามคำสั่งได้อีก
เมื่อเจ้าน้อยมหาพรหม ได้ทราบกิตติศัพท์ของพระอาจารย์รุ จึงไปทดสอบวิชา เรียกว่าไปขอลองวิชานั่นแหละ
เป็นการขอลองวิชากับอาจารย์รุผู้เกรียงไกรว่างั้นเถอะ ครั้งแรกได้ลองวิชาด้วยการถากหน้าแข้งของพระองค์เพื่อทำเชื้อฟืนหุงข้าว
แต่พอได้ฟืนมาแล้วกลายเป็นเจ้าน้อย ทำให้เห็นว่าที่มีอาคมทำเหมือนถากหน้าแข้งให้เป็นฟืนได้นั้น
ความจริงก็ถากไม้จริง ๆ ไม่ใช่หน้าแข้ง แต่เจ้าน้อยเวลาทำก็คงจะบังตาคนอื่นเช่นกันจึงเห็นกันเป็นเช่นนั้น
พระอาจารย์รุจึงย้อนรอยของเจ้าน้อยกำบังตาเจ้าน้อยเสียเอง ให้เห็นว่าท่านกำลังถากอยู่นั้น
คือการถากหน้าแข้งจริงไปถากเอาเสากุฏิของพระอาจารย์รุ ท่านอาจารย์รุจึงลองวิชาให้ดูบ้าง
เอาแค่ง่าย ๆ คือเสกใบมะขามให้เป็นตัวต่อ ไล่ต่อยพวกบ่าวไพร่ของเจ้าน้อยมหาพรหม
หน้าตาปูดไปตาม ๆ กัน เรื่องเสกใบมะขามเป็นตัวต่อนี้ ผมเคยได้ยินมานานแล้วว่าหลวงปู่ศุข
วัดปากคลองมะขามเฒ่า ที่จังหวัดชัยนาท (กรมหลวงชุมพร ฯ นับถือเป็นอาจารย์)
ท่านสามารถเสกใบมะขามให้เป็นตัวต่อได้
เจ้าน้อยมหาพรหมพบเช่นนี้ก็หมดทิฐิ จึงเกิดความเคารพนับถือเลื่อมใสในตัวพระอาจารย์รุเป็นอย่างยิ่ง
เห็นว่าเป็นเกจิอาจารย์ที่มีความรู้ จึงเสด็จขึ้นจากแพ เพื่อขึ้นไปนมัสการพระอาจารย์รุ
ในขณะที่เจ้าน้อยมหาพรหมก้าวเท้าข้ามธรณีประตูเข้าไปในกุฏิพระอาจารย์รุนั้น
ก็เกิดเหตุแสดงให้เห็นอิทธิฤทธิ์ของพระอาจารย์รุ คือเจ้าน้อยไม่สามารถก้าวข้ามธรณีประตูกุฏิ
ไม่สามารถเดินหน้าถอยหลังได้อีกเหมือนถูกสะกดนิ่งอยู่ตรงนั้น ทำให้ต้องยืนนิ่งอยู่เช่นนั้นเป็นเวลาพอสมควร
เจ้าน้อยก็รู้ว่าอาจารย์รุลองวิชาเข้าให้แล้ว ก็ได้แต่ยืนนิ่งอยู่ ตราบจนกระทั่งพระอาจารย์รุเรียกให้เข้าพบได้
คือเป็นการอนุญาตให้เข้าพบ เจ้าน้อยมหาพรหมจึงสามารถก้าวข้ามธรณีประตูและเดินเข้ากุฏิ
ไปนมัสการพระอาจารย์รุได้
เจ้าน้อยมหาพรหมได้กราบนมัสการพระอาจารย์รุ และบอกจุดประสงค์ว่าจะทำการสร้างวัดและศาล
ขอมอบแพที่โดยสารมาสร้างกุฏิให้ใหม่ พร้อมกันนี้ก็จะสร้างศาลาการเปรียญให้อีก
๑ หลังด้วย
ต่อมาการก่อสร้างสิ่งต่าง ๆ ดังกล่าวก็เสร็จเรียบร้อย จึงตั้งชื่อวัดว่า "วัดศาลเจ้า"
ซึ่งคำว่า "ศาล" นี้คงหมายถึงศาลที่เจ้าน้อยได้สร้าง ส่วนคำว่าเจ้า น่าจะมาจากคำนำหน้าของผู้สร้างคือ
"เจ้าน้อย" รวมเรียกว่า
วัดศาลเจ้า
(วัดที่เจ้าสร้าง)
ด้วยความเลื่อมใส หลังจากนั้นเจ้าน้อยมหาพรหมก็จะเสด็จมายังวัดศาลเจ้าเสมอ
และได้สร้างอุโบสถให้ ๑ หลัง สร้างพระพุทธรูปหน้าตักกว้าง ๑ วา ถวายไว้อีก
๑ องค์ ได้ทำการประดิษฐานไว้ที่หน้าอุโบสถ ต่อมาได้มีการย้ายพระพุทธรูปไปไว้ที่ศาลาการเปรียญ

ภายในวัดศาลเจ้ามีปูชนียสถานที่สำคัญคือ
1.อุโบสถซึ่งเจ้าน้อยมหาพรหมสร้างถวายในสมัยพระอาจารย์รุ ได้ทำการบูรณะใหม่ในเวลาต่อมา
นับว่าเป็นอุโบสถที่สวยงามมาก
2.เจดีย์แบบรามัญ ซึ่งงดงามตามแบบเจดีย์รามัญ และหาชมได้ยาก
3.พระพุทธรูปที่เจ้าน้อยมหาพรหมสร้างไว้ประดิษฐานอยู่ที่ศาลาการเปรียญ
น้ำศักดิ์สิทธิ์หน้าวัดศาลเจ้า
สาเหตุที่เชื่อกันมาว่าน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาที่ตรงหน้าวัดศาลเจ้านั้นเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์
ซึ่งปัจจุบันความเชื่อนี้ไปเชื่อว่า เป็นเพราะความศักดิ์สิทธิ์ของศาลเจ้า
ที่มีเจ้าพ่อนักรบถือทวนประดิษฐานอยู่ เพราะคนทั่วไปไม่มีใครทราบประวัติมาก่อนว่า
ความศักดิ์สิทธิ์เป็นเพราะ เมื่อก่อนนี้หน้าวัดศาลเจ้าในลำน้ำเจ้าพระยานี่แหละจรเข้ชุกชุมมาก
และทำร้ายผู้คนที่ผ่านไปมาเป็นประจำ เมื่อเจ้าน้อยซึ่งเป็นผู้มีวิชาในการปราบจรเข้ได้มาพบ
เจ้าน้อยจึงใช้สมาธิร่ายเวทย์มนต์จนจรเข้เชื่อง และสถานที่ลองวิชาระหว่างเจ้าน้อยกับพระอาจารย์รุ
ก็ทดลองกันตรงหน้าวัดนี่แหละ จึงถือว่าน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาตรงนี้ศักดิ์สิทธิ์
เรือแพผู้คนผ่านหน้าวัดจะวักน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาตรงนี้ลูบหัวเรือ ลูบหน้ารดหัวของตัวเอง
เพราะถือว่าเปรียบประดุจน้ำมนต์

ในพิธีสำคัญๆ ก็จะมีการตักน้ำหน้าวัดศาลเจ้าไปใช้ในพิธีสัจจปานกาล หรือ พิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา เช่น ในสมัยของพระอารักษ์ประชาราฎร์ หม่อมเจ้าขจรศุภสวัสดิ์ พระยาพิทักษ์ทวยหาญ เป็นเจ้าเมืองปทุมธานี ได้นำน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาหน้าวัดนี้ ไปประกอบพิธีในอุโบสถวัดบางหลวง โดยเอาน้ำใส่ขันทองเหลืองขนาดใหญ่ ต่อจากนั้นเจ้าเมืองก็จะโอมอ่านโองการแช่งน้ำ เสร็จแล้วคณะกรรมการเมืองและข้าราชการ ก็จะกล่าวพิธี คำสัตย์ปฏิญาณ จบแล้วดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยาโดยทั่วกัน
แหล่งข้อมูล : วัดศาลเจ้า ต.บ้านกลาง อ.เมือง จ.ปทุมธานี
Comments